Sunday, September 27, 2009

แพทย์ชนบท จี้ตั้งกก.สอบงบไทยเข้มแข็ง ยัดเยียดร.พ.

แพทย์ชนบท จี้ตั้งกก.สอบงบไทยเข้มแข็ง ยัดเยียดร.พ.

เผยเส้นนักการเมืองล็อบบี้ยัดเยียดวัสดุ-อุปกรณ์ราคาแพงเกินจริง ล็อตใหญ่รับเละ
เหน็บ"ชวน"เคยตั้ง"หมอบรรลุ"สอบเอา"รักเกียรติ"เข้าคุก แต่ตอนนี้ ...

น.พ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวว่า
ปัญหาของโครงการไทยเข้มแข็งของสาธารณสุขไม่ใช่อยู่ที่การล็อคสเปค

แต่อยู่ที่ ครม.อนุมัติให้ซื้อในสิ่งที่โรงพยาบาลไม่ได้ขอ
เช่น เครื่องฆ่าเชื้อด้วยยูวี ราคา 40,000 บาท ไม่มีใครขอ
เพราะราคาแค่นี้ถ้าโรงพยาบาลจำเป็นต้องใช้ก็สามารถใช้เงินบำรุงจัดซื้อเองได้
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนชงให้นักการเมือง แค่อนุมัติให้ซื้อทุกโรงพยาบาลจะเป็นเงินกว่า 300 ล้านบาทแล้ว

และปัญหาใหญ่อีกอย่างคือราคาที่อนุมัติ แพงเกินไป เช่น
เครื่องช่วยหายใจราคา 1.2 ล้านบาท แต่โรงพยาบาลบางแห่งเพิ่งซื้อไป 5 แสนกว่าบาทเอง
หรือแฟลตพยาบาล ราคา 9.6 ล้านบาท แต่เมื่อต้นปี 52 โรงพยาบาลบางแห่งเปิดซองประมูลได้ราคาแค่ 6 ล้านบาทเอง
รวมทั้งเครื่องฆ่าเชื้อยูวีราคาแค่ 6,000 บาท

"จากที่ถามโรงพยาบาลบางแห่ง มีนักการเมืองในพื้นที่ติดต่ออยากได้อะไร แล้วนำไปเพิ่มราคาโดยผ่านกองแบบแผนของกระทรวงสาธารณสุข เวลาประมูลถ้ามีการฮั้วราคากันก็คงได้ราคากลางพอดี ทั้งที่ควรจะถูกกว่านั้น โครงการนี้ไม่โปร่งใสตั้งแต่แรก เพราะขาดการมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลต่าง ๆ ในการพิจารณาว่าอะไรควรซื้อไม่ควรซื้อ และจะซื้อราคาเท่าไหร่ การจัดสรรผ่านคนไม่กี่คนในส่วนกลางในช่วงที่กำลังจะตั้งปลัดกระทรวง และอธิบดีใหม่ ทำให้คนในกระทรวงฯ หลายคนอยากก้าวหน้าดำเนินการชงให้"

นายแพทย์พงศ์เทพ กล่าวด้วยว่า
สิ่งที่นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ควรทำหลังกลับจากประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติก็คือ
แต่งตั้งนายแพทย์บรรลุ ศิริพานิชเป็นประธานกรรมการเพื่อหาข้อเท็จจริงว่าใครเป็นคนใส่ราคากลางที่ แพงขนาดนี้
และใครเป็นคนใส่เครื่องฆ่าเชื้อยูวีไปในคำขอที่เสนอครม.
และคณะกรรมการควรตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือลดราคากลางลง
จะทำให้ประหยัดงบประมาณและนำไปซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นจริงๆเพิ่มได้ อีกจำนวนมาก

"เรื่องนี้เหมือนสมัยที่คุณชวน หลีกภัยตั้งนายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช สอบสวนเรื่องทุจริตยา จนนำนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พรรคกิจสังคม เข้าคุกได้ แต่ตอนนี้ต่างกันแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอยู่พรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้นเอง" เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 27 กันยายน 2552

Thursday, September 17, 2009

แฉเงื่อนงำซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรค ระบบอัลตราไวโอเลต 4 หมื่นแพงโหด

แฉเงื่อนงำซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรค ระบบอัลตราไวโอเลต 4 หมื่นแพงโหด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากมีการเสนอข่าวกระแสการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง (เอสพี) 2555 ระยะที่ 2 รอบที่ 1 โดยล่าสุด ได้รับเอกสารเกี่ยวกับ การจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรค ด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิด ให้กับโรงพยาบาลชุมชนทุกจังหวัด จังหวัดละ 15 เครื่อง ราคาเครื่องละ 40,000 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการจัดซื้อในส่วนของโครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ งบฯลงทุน ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง โดยมีเอกสาร 3 ใบ คือ หนังสือทางราชการของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา (สสจ.) ลงบันทึกด่วนที่สุด ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2552 โดยแจ้งให้ทราบว่าสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข เร่งให้ดำเนินการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวไอเลต ให้กับโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งในจังหวัด พร้อมแนบสเปคเครื่องทำลายเชื้อโรคและใบเสนอราคาของบริษัทเอกชน ชื่อบริษัท ก่อเกียรติซัพพลาย จำกัด ที่อยู่เลขที่ 3 ซอยบางนาตราด 34 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 102 โดยเสนอราคาเครื่องทำลายเชื้อโรค หรือ UV-FAN ในราคาเครื่องละ 40,000 บาท

นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า หนังสือฉบับดังกล่าวมีความผิดปกติหลายจุด คือ

1.มีการเสนอราคาเครื่องทำลายเชื้อโรคราคาเครื่องละ 40,000 บาท ซึ่งสูงผิดปกติ ซึ่งเท่าที่ทราบที่ผ่านมาสถาบันทรวงอก กรมการแพทย์ สธ. ได้ผลิตเครื่องชนิดนี้เป็นโครงการนำร่อง มีต้นทุนเครื่องละ 5,000-6,000 บาทเท่านั้น แต่ทำไม สธ.จึงกำหนดราคากลางให้สูงถึง 40,000 บาท

2.ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังได้แนบเอกสารอีก 2 ฉบับ คือ รายละเอียดสเปคเครื่องทำลายเชื้อโรค และใบเสนอราคาของบริษัท ก่อเกียรติ ซัพพลาย จำกัด ในราคาเครื่องละ 40,000 บาท ขณะนี้เครือข่ายแพทย์ชนบทได้กระจายตัวลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวดแล้ว

มติชนรายวัน, วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11514

Tuesday, September 15, 2009

น.ร.ม.กับ ผบ.ตร.

น.ร.ม.กับ ผบ.ตร.

คอลัมน์ คนเดินตรอก

โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วยปลายเดือนสิงหาคมกับต้นเดือนกันยายนคงไม่มีข่าวใด ครองเนื้อที่ข่าวเป็นเวลานานกว่าข่าวการดำเนินการของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช. กับการปฏิบัติต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่

ตำรวจไทยนั้นอยู่ในฐานะที่น่าเห็นใจ งานในภาระหน้าที่ก็หนัก เงินเดือนก็น้อย บางครั้งการปฏิบัติหน้าที่ก็เสี่ยงกับอันตรายจากพวกมิจฉาชีพ ที่น่าเห็นใจและน่าน้อยใจแทนตำรวจก็ตรงที่มักจะถูกสังคมกล่าวหาว่าเป็น ผู้ร้ายเสียเองอยู่เสมอ

ตำรวจทั้งประเทศมีจำนวนมากมายกว่า 2 แสนคน ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเป็นของธรรมดา แต่ที่เคยคบหาสมาคมด้วยก็เห็นว่าเป็นคนดีเป็นส่วนใหญ่ คนไม่ดีนั้นมีจำนวนไม่มาก

การปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาต่อ ผบ.ตร. จนเป็นข่าวเกรียวกราวย่อมกระทบกระเทือนต่อ"เกียรติภูมิ" ของตำรวจทั้งประเทศ ย่อมทำให้เกิดความเศร้าใจแก่ผู้ที่มีอาชีพรับราชการเป็นตำรวจจนไปถึงครอบ ครัวและญาติพี่น้องเป็นของธรรมดา ถ้าข้าราชการตำรวจทั้งประเทศมี 2 แสนคน รวมลูกเมียของตำรวจเข้าไปด้วยก็คงทำให้เกิดความสะเทือนใจแก่ตำรวจ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง จำนวนไม่ต่ำกว่าล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย

น่าจะมีวิธีที่ปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจดีกว่านี้ วิธีที่กำลังปฏิบัติต่อ ผบ.ตร. ในขณะนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เริ่มต้นด้วยการออกข่าวว่าให้ ผบ.ตร.ลาราชการไปต่างประเทศ พร้อมทั้งให้ลาต่อไปจนถึงวันเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน เพื่อจะได้ไม่สามารถเข้าประชุมคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติได้ จู่ๆ ก็ปรากฏว่า ผบ.ตร.เดินทางกลับจากประเทศจีนในวันที่ 10 สิงหาคม เพื่อมาให้ทันวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

เมื่อ ผบ.ตร.เดินทางกลับเข้าประเทศด้วยเหตุผลและภารกิจที่ต้องเดินทางไปประเทศจีน เสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำ ตามหน้าที่และวินัยก็ต้องกลับมาทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม เมื่อ ผบ.ตร.กลับมา รักษาการ ผบ.ตร.ที่ได้รับการแต่งตั้งก็พ้นไป

ต่อมา ผบ.ตร.ก็ได้รับคำสั่งให้ไปราชการภาคใต้ แล้วก็มีการแต่งตั้งรักษาราชการแทน ซึ่งสร้างความมึนงงสงสัยให้กับผู้คนจำนวนมากว่า การเดินทางไปราชการต่างจังหวัดนั้นต้องตั้งรักษาการแทนด้วยหรือ เพราะเจ้าตัวยังอยู่ในราชอาณาจักร เมื่อนักข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลถามว่า ถ้านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีต้องเดินทางไปราชการต่างจังหวัดจะต้องตั้งรักษา ราชการแทนด้วยหรือไม่ ก็ไม่ได้รับคำตอบ แต่ข่าวที่ออกไปก็คงกระทบต่อขวัญและกำลังใจของตำรวจอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อมีการประชุมใน ก.ต.ช. ผบ.ตร.ก็กลับมาจากต่างจังหวัดเข้าร่วมประชุมด้วย เมื่อประธานเสนอชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน ผบ.ตร.ที่จะเกษียณไปเพียงชื่อเดียว ปรากฏว่ามีกรรมการ ก.ต.ช. ผู้หนึ่งติงว่าไม่ควรเสนอชื่อเพียงชื่อเดียว ในที่สุดต้องมีการลงมติ ผู้ที่ท้วงติงเสนอให้คงคะแนนลับ ประธานไม่ยอมให้ลงคะแนนลับ ให้ลงโดยเปิดเผย ผลปรากฏว่าข้อเสนอของประธานไม่ผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ไม่ออกเสียง 2 ท่าน คือ กรรมการผู้ท้วงติงกับตัวประธานเอง

การที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากทั้งกับประธาน ก.ต.ช. ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล และกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในแง่ประธาน ก.ต.ช. ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลก็เสียหาย เพราะเท่ากับทำงานไม่รอบคอบ ปกติประธานก็น่าจะทราบมาก่อนประชุมแล้วว่าข้อเสนอของตนจะได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการหรือไม่ ไม่ใช่มาทราบเพราะต้องมีการลงมติกัน อาจจะเป็นไปได้ว่าประธาน ก.ต.ช. ก็ทราบมาก่อนการประชุมแต่ต้องการให้เป็นข่าวเช่นนี้

ในแง่ตำรวจก็เท่ากับหัวหน้าตำรวจกับหัวหน้ารัฐบาลมีปัญหากันอย่างรุนแรง เพราะปกติแล้วตำรวจคงจะไม่ทำอย่างนั้นกับผู้บังคับบัญชา ทำให้ระบบการบริหารงานบุคคลเสียหาย หมดความน่าเชื่อถือ เหตุการณ์ทรุดลงไปอีกเมื่อสื่อมวลชนโดยเฉพาะนักข่าวได้ไปตั้งคำถามกับผู้นำ พรรคภูมิใจไทยและได้รับคำตอบว่า ให้ไปถามเลขาธิการนายกรัฐมนตรีคือคุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงคือคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งสองท่านมิได้ตอบว่าอย่างไร ไม่ว่านักข่าวจะไปถามแกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือบุตรชาย หรือผู้นำพรรคที่อยู่ข้างนอก ต่างก็ยืนยันว่าให้ไปถามรองนายกรัฐมนตรีกับเลขาธิการนายกฯ

การให้ข่าวเช่นนี้จึงทำให้เกิดข่าวลือไปต่างๆนานา ต่อมาเมื่อนักข่าวไปถามประธาน ก.ต.ช.ก็ได้รับคำตอบว่า ประธาน ก.ต.ช.ยังจะเสนอชื่อเดิมเพียงชื่อเดียว เพราะพวกที่ลงมติไม่เห็นชอบนั้นมีข้อมูลเพียงด้านเดียว ไม่มีข้อมูลรอบด้าน กลายเป็นการตอบโต้กันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี สร้างความงุนงงกับตำรวจทั้งประเทศ

เมื่อนายกรัฐมนตรีตอบผู้สื่อข่าวอย่างนี้เรื่องก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ ผู้คนพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา

ความจริงแล้วนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ต.ช.น่าจะชี้แจงได้ว่า ในบรรดาตำรวจที่ดำรงตำแหน่งชั้นยศพลตำรวจเอกนั้น ผู้ที่นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาคัดเลือกแล้วนำชื่อมาเสนอนี้มีความเหมาะสมกว่า ผู้อื่นอย่างไร ทั้งในแง่ผลงาน ประวัติการทำงาน มนุษยสัมพันธ์ บารมีและการยอมรับ รวมทั้งอาวุโสในตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อเทียบกับ พล.ต.อ.คนอื่นๆ

แต่ก็ดูเหมือนว่าสื่อมวลชน และสังคมก็มิได้ติดใจสอบถามอย่างจริงจัง แม้ว่านายกรัฐมนตรีถ้าจำไม่ผิดจะได้ชี้แจงไปบ้างแล้วก็ตาม

การให้ข่าวอย่างคลุมเครืออย่างนี้ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย เพราะเป็นเหตุให้ผู้คนคิดไปต่างๆ นานา

ขณะเดียวกันก็มีการตั้งกรรมการสอบสวนกรณีการใช้จ่ายเงิน 18 ล้านบาท ในงบฯการประชาสัมพันธ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในเวลาไล่เลี่ยกันคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและทางวินัย กับ ผบ.ตร. ในกรณีการสลายการชุมนุมที่มาล้อมอาคารรัฐสภา

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่อาจจะรู้ได้ นอกจากข้อมูลสาธารณะจากหนังสือพิมพ์

แต่รูปการและห้วงเวลาที่เรื่องต่างๆ ออกมาเป็นชุดๆ ติดๆ กันอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นผลดีกับฝ่ายใดเลย ทำให้สังคมมีการคาดเดา มีการวิเคราะห์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

ที่สำคัญทำให้กระทบกระเทือน กับขวัญและกำลังใจของตำรวจเป็นอย่างมาก ที่ดูเหมือนกับว่าเพียงเพื่อไม่ให้ ผบ.ตร.มาประชุม ก.ต.ช.ได้เท่านั้นก็เลยมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับ ผบ.ตร. ซึ่งความจริงอีกเพียง 2 สัปดาห์ก็จะเกษียณอายุแล้ว ทำไมเรื่องต่างๆ ถึงได้มาเสร็จและเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

พอมีข่าวเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งเคยเป็นประเด็นถกกันว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์หรือไม่ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวข้องกับนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเกษียณอายุราชการแล้ว ความที่สังคมให้ความสำคัญกับความขัดแย้งระหว่างกรรมการ ก.ต.ช. 5-6 ท่านกับประธาน ก.ต.ช. สื่อมวลชนก็เลยเหมาเอาว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่ามีเหตุผลใดแต่ก็น่าสนใจว่าทำไมกรณีที่ดินที่นำเอาไปสร้าง บ้านจัดสรรและสนามกอล์ฟอัลไพน์จึงได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา

ทันทีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติกล่าวโทษ ผบ.ตร. ทั้งทางอาญาและทางวินัย ผบ.ตร.ก็กล่าวกับนักข่าวว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าหนังสือของ ป.ป.ช.จะมีมาถึงสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คงหมายความว่าถ้ามีการประชุม ก.ต.ช. ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม ผบ.ตร.ก็คงจะไปประชุมซึ่งเท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของนายกรัฐมนตรี

ความจริงแล้วน่าจะพิจารณาดูว่า กฎหมายที่กำหนดกระบวนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.นั้นถูกต้อง เป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่ เช่น นายกรัฐมนตรีควรจะลงมานั่งเป็นประธาน ก.ต.ช.เองหรือไม่ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล เมื่อเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้น ก็เท่ากับนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่สามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร.ได้

นายกรัฐมนตรีนั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงไม่ควรมาเป็นผู้เสนอแต่งตั้งข้าราชการประจำ สำหรับกระทรวงอื่นๆ ก็มีรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเป็นผู้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีสามารถจะทักท้วงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นคนสุดท้ายได้

ถ้านายกรัฐมนตรีเป็นทั้งผู้เสนอและแต่งตั้งกรรมการระดับชาติอย่างนี้แล้ว เกิดที่ประชุมไม่ผ่านให้ก็มีปัญหาในการบริหารประเทศ แต่ถ้ากรรมการต้องลงมติผ่านให้ทุกครั้งที่นายกรัฐมนตรีเสนอก็เท่ากับเป็นคณะ กรรมการตรายางหรือไม่ ประโยชน์ของคณะกรรมการอยู่ที่ตรงไหน

จึงน่าคิดว่าระบบที่ว่านี้เป็นระบบที่ถูกต้องหรือไม่

ประชาชาติธุรกิจ, วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4140

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edi05140952&sectionid=0212&day=2009-09-14

Thursday, September 3, 2009

เปิดขุมข่ายธุรกิจ-หนี้120ล.ศิริโชค โสภา wallpaper นายกฯ จนจริงหรือแกล้งจน?

เปิดขุมข่ายธุรกิจ-หนี้120ล.ศิริโชค โสภา wallpaper นายกฯ จนจริงหรือแกล้งจน?

เปิดตัวตน "ศิริโชค โสภา " เจ้าของสมญานามวอลเปเปอร์ของนายกฯอภิสิทธิ์ และโด่งดังหลังออกมาขย่มวงการสีกากี 10 ปีที่แล้ว เขาคือนักธุรกิจหนุ่ม แต่วันนี้เขามีหนี้เฉียด 120 ล้าน อยากรู้ว่าเขาจนจริง หรือ แกล้งจน ?? ...คลิกอ่านโดนพลัน

กล่าวกันว่า ถ้าเห็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นภาพข่าว ฉากหลังของนายกฯ จะต้องมี "ศิริโชค โสภา" เป็นแบล็คกราวน์ อยู่เสมอๆ

จน ส.ส. สงขลา ได้รับสมญาว่า เป็น "wallpaper" ของผู้นำ ทว่า เจ้าตัวบอกว่า ไม่สนใจ ใครจะเรียกอย่างไร

"วอลเปเปอร์ อื่น คือยืนเพื่อออกทีวีอย่างเดียว แต่ผมยืนเพื่อฟังและรับข้อมูล มันก็เลยได้มุมโดยไม่ตั้งใจ..." ศิริโชค กล่าว

แต่ใครจะเชื่อว่า ฤทธิ์เดช วอลเปเปอร์ ที่ชื่อ ศิริโชค สามารถขย่มวงการสีกากี ด้วยการแฉเรื่องการเซ็งลี้เก้าอี้ตำรวจ 2 ครั้งซ้อน จนทำเอาวงการสีกากี ปั่นป่วน

ล่าสุด ศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เปิดสงครามน้ำลาย กับ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เมื่อ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้ตรวจสอบภูมิหลังนายศิริโชค โดยอ้างว่าบริษัทพี่ชายนายศิริโชคมีคดีความ เกี่ยวกับการทุจริตรวม ทั้งขอให้ตรวจสอบสัญชาติบิดาของนายศิริโชคอีกด้วย

ขณะที่เจ้าตัวออกมาโต้ว่าเป็นเรื่องเก่า ไร้สาระ หากทำให้เสียหายก็จะฟ้องดำเนินคดี และบอกทำนองว่านายพร้อมพงศ์ไปเล่นหนังโป๊ หากเป็นนักการเมืองที่ไม่มีคุณธรรมก็คงเอาซีดีที่นายพร้อมพงศ์แสดงเป็น พระเอกออกมาแจกแล้ว

ศิริโชค ร้องท้าว่า ถ้าการทำธุรกิจของพี่ชาย จะเกิดปัญหาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันและคดีดังกล่าวก็เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

นายศิริโชคกับนายพร้อมพงศ์จึงกลายเป็นมวยคู่ล่าสุด ก่อนหน้านี้ ศิริโชค เคยปะฉะดะกับ จักรภพ เพ็ญแข มาแล้ว

แต่หากย้อนกลับไป วีรกรรมของ ศิริโชค คือ การลอกคราบ บริษัทในเครือชินคอร์ปของ ตระกูลชินวัตร เมื่อ ส.ส. สงขลา เปิดโปงการหลบเลี่ยงภาษีของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ และบริษัท ซีเอส คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาถูกเครือข่ายอดีตนายกฯขุดคุ้ยละเอียดยิบทั้งเรื่องส่วนตัวและครอบครัว

ล่าสุด ศิริโชค ถูกลูบคม อีกครั้งหลังจากเปิดโปงกรณีซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและออกมาเล่นบทพระเอก กรณีคลิปฉาวตัดต่อของนายกฯ

อย่างไรก็ตาม นอกจากมีความสามารถในเชิงตรวจสอบแล้ว กระบวนยุทธ์ในการทำธุรกิจและการสะสมทุน ก็มีความน่าสนใจ ไม่ใช่น้อย

ทั้งนี้ นายศิริโชคยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ระบุว่ามีทรัพย์สินเพียง 2 รายการ คือเงินฝากแบงก์ 1.1 ล้านบาทเศษ ที่ดินในต.ปากพลี จ.นครนายก 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่เศษ มูลค่า 3 แสนบาท รวม 1.4 ล้านบาทเศษ ไม่มีทรัพย์สินอื่น ถ้าเทียบกับ ส.ส.ประชาธิปัตย์ จำนวน 172 คน ทรัพย์สินของนายศิริโชค รั้งท้ายอยู่อันดับ 165

นายศิริโชคระบุว่ามีหนี้สิน 119.2 ล้านบาท จำแนกเป็นหนี้ธนาคารไทยธนาคาร 27.5 ล้านบาท บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน 31.8 ล้านบาท กองทุนรวมไทยรีสตรัคเจอริ่ง 4 รายการ 59.8 ล้านบาท

หักลบกลบหนี้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 117.8 ล้านบาท (เป็น 1 ใน 6 ส.ส. ประชาธิปัตย์ที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน)

หนี้ทั้งหมด เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งศาลตัดสินตั้งแต่ปี 2543 - 2546 ซึ่งนายศิริโชคเป็นจำเลยร่วมกับ บริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น บริษัท สหะโสภา นางเสาวรส โสภา (นามสกุลเดิม จันทนะปุญญา) นายศิริพจน์ โสภา พี่ชาย และเครือญาติ รวม 6 ราย

ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบพบว่าครอบครัวนายศิริโชคมีธุรกิจกว่า 10 บริษัท

ปี 2508 ก่อตั้งหจก.บัวไล ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ขายส่งสินค้า เช่น ข้าว แร่ ยาง ไม้ ข้าวโพดออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ

ปี 2516 ก่อตั้งบริษัท โอเวอร์ซี เมอร์แคนไทล์ จำกัด (ปิดกิจการแล้ว) ทุน 1 ล้านบาท

ปี 2524 ก่อตั้งบริษัท สหะโสภา จำกัด ทุน 8 ล้านบาท ขายอาหารทะเล ที่อยู่เดียวกับบริษัท โอเวอร์ซี เมอร์แคนไทล์

ปี 2530 ก่อตั้ง บริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น จำกัด ทุน 100 ล้านบาท ส่งออกอาหารทะเล อยู่ในซอยทรงสะอาด ถนนวิภาวดีรังสิต

ปี 2535 ก่อตั้ง บริษัท โสภา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทุน 10 ล้านบาท

ปี 2536 ก่อตั้งบริษัท ระยองพรอน จำกัด (ปิดกิจการปี 2547) ทุน 1 ล้านบาท และบริษัท ปราณบุรี จำกัด (ปิดกิจการปี 2547) ทุน 1 ล้านบาท ส่งออกอาหารทะเล

ปี 2538 ก่อตั้งบริษัท อินโด-ไทย ฟู้ด เทรด จำกัด ทุน 10 ล้านบาท ขายสินค้าอุปโภค บริโภค อยู่ในซอยเอกมัย ,บริษัท โอแมค ปิโตเลี่ยม จำกัด (ปิดกิจการปี 2546) ทุน 1 ล้านบาท ขายน้ำมันเชื้อเพลิง และ บริษัท ไอพีดี แลนด์ จำกัด ทุน 46 ล้านบาท รับเหมาก่อสร้าง (ล้มละลาย 29 พ.ค.2551)

กิจการเกือบทั้งหมดนายศิริโชคถือหุ้นร่วมกับแม่คือนางเสาวรส โสภา น.ส.นุชนาฎ โสภา พี่สาว และ นายศิริพจน์ โสภา พี่ชาย

ที่น่าสนใจคือนายศิริโชคเริ่มผ่องถ่ายหุ้นให้แม่และพี่ชายตั้งแต่ปี 2541 (เป็น ส.ส.ครั้งแรกปี 2544)

วันที่ 10 สิงหาคม 2541 โอนหุ้นบริษัท สหะโสภา จำกัด ให้นางเสาวรส 40 หุ้น และ นายศิริพจน์ 39 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10,000 บาท รวม 790,000 บาท และ โอนหุ้น บริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น จำกัด ให้นางเสาวรส และ นายศิริพจน์คนละ 5,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท รวม 10 ล้านบาท

วันที่ 10 เมษายน 2545 โอนหุ้นบริษัท โอแมค ปิโตรเลี่ยม ให้นางเสาวรส 2,800 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวม 280,000 บาท ,โอนหุ้นบริษัท ระยองพรอน ให้นางเสาวรส 1,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวม 1 แสนบาท และ โอนหุ้น บริษัท ปราณบุรี พรอน ให้นางเสาวรส 1,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวม 1 แสนบาท

นายศิริโชคจึงไม่มีหุ้นในธุรกิจอีกต่อไป และ แจ้ง ป.ป.ช.ว่า ไม่มีแม้กระทั่งรถยนต์

อย่างไรก็ตาม นักข่าวสายการเมือง ต่างเคยเห็น ศิริโชค ควบ รถปอร์เช่ Porsche สุดเท่ห์ ประชันกับ "ชายภิ" อภิมงคล โสณกุล ลูกชายหม่อมเต่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล

แต่ล่าสุด หนุ่มศิริโชค เปลี่ยนมาควบ มินิ คูเปอร์สีแดง บาดตาสาวๆ

ในวงเม้าท์ของนักข่าว เคยมีการเปรียบเทียบความเค็มระหว่าง นายกฯมาร์ค กับ wallpaper ใครจะเข้มข้นกว่ากัน ?

คำตอบคือ wallpaper น่าจะเหนือกว่านายกฯ เพราะนายกฯ ยอมควักกระเป๋าตังค์จ่ายค่ากาแฟ ก่อน wallpaper แค่เสี้ยวนาที (ฮา)

---------------------------------------
บริษัท โสภา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

วันเดือนปีที่จดทะเบียน 25 มีนาคม 2535
สถานภาพกิจการ ยังดำเนินกิจการอยู่
ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน (บาท) 10,000,000
ที่ตั้ง (กระทรวง) 43/3 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
ที่ตั้ง (สบช.3) 43/3 อาคารศูนย์การค้าเฉลิมโลก ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทรศัพท์ 0-2277-1686
ประเภทธุรกิจ 1. ขายทรัพย์สิน - บริการ (65990)
ขนาดธุรกิจ ขนาดเล็ก
ผู้มีอำนาจทำการ 1 (สบช.3) นาย ศิริพจน์ โสภา
อำนาจกรรมการ กรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญ ของบริษัท
ข้อมูลรายชื่อกรรมการ
1 นาย สุวัฒน์ โสภาเสถียรพงศ์
2 นาย ศิริพจน์ โสภา

วันที่ประชุมผู้ถือหุ้น 30 เมษายน 2549 ราคาหุ้นละ 100.00 บาท

# รายชื่อผู้ถือหุ้น
1 นาย ศิริพจน์ โสภา 89.9500% ไทย 8,995 899,500.00
2 นางสาว นุชนาฏ โสภา 10.0000% ไทย 1,000 100,000.00
3 นาย พยนต์ สุวรรณพูล 0.0100% ไทย 1 100.00
4 นาง วิไล พรวิไลโชติกิจกุล 0.0100% ไทย 1 100.00
5 นางสาว เสาวรส จันทนปุณญา 0.0100% ไทย 1 100.00
6 นาย แสงชัย จันทนะเจริญสุข 0.0100% ไทย 1 100.00
7 นางสาว อาพร ทับทิม 0.0100% ไทย 1 100.00
รวม 100.0000% 10,000 1,000,000.00

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 03 กันยายน พ.ศ. 2552