Tuesday, October 13, 2009

ผลสอบสธ.ชี้ชัดยัดไส้ซื้อครุภัณฑ์ ฟันข้าราชการไร้เงานักการเมือง

ผลสอบสธ.ชี้ชัดยัดไส้ซื้อครุภัณฑ์ ฟันข้าราชการไร้เงานักการเมือง

สธ. เผยผลสอบ "โครงการไทยเข้มแข็ง" พบยัดไส้จัดซื้อจริง รพ.ไม่ได้ขอ ทั้งยูวีแฟน เครื่องดมยาสลบ เครื่องช่วยหายใจ โดยเฉพาะเครื่องตรวจชีวเคมีในเลือดจัดซื้อถึง 40 เครื่องๆ ละ 3 ล้านบาท เผยข้าราชการมีเอี่ยว แต่ขออุบชื่อ "ไอ้โม่ง" ก่อน พร้อมตั้ง คกก.สอบวินัย ด้าน "วิทยา" รับมีบีบให้ลาออกจาก รมว.สธ.จริง แต่ชี้แจง พรรคเข้าใจ ขอเวลา 1 วันหารือตั้งคณะกรรมการคนนอก ด้าน "หมอเกรียง" ผิดหวัง ผลสอบฟันแค่ข้าราชการประจำ ไม่มีนักการเมืองเอี่ยว

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะกรรมการตรวจสอบปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 6 รายการ และคณะกรรมการทบทวนการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไทยเข้มแข็งกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวผลการตรวจสอบ ภายหลังจากที่ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข มีคำสั่งแต่งตั้งและให้สรุปภายใน 2 สัปดาห์

นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ผลการตรวจสอบหลังดำเนินการ 1 สัปดาห์ได้ข้อสรุปเบื้องต้น คือ
1.มีการจัดสรรครุภัณฑ์บางรายการที่ไม่ตรงกับความต้องการ และไม่มีคำขอแต่กลับมีการจัดสรรให้ เช่น เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลตระบบยูวี-แฟน
2.มีการจัดสรรเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และไม่เหมาะสม เช่น เครื่องดมยาสลบ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องตรวจชีวเคมีในเลือด ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับโรงพยาบาลชุมชน แต่กลับมีรายการจัดซื้อ
3.สิ่งก่อสร้าง ซึ่งพบว่ามีการจัดสรรงบประมาณให้สูงกว่าที่เคยก่อสร้างมาจากการประเมิน เช่น อาคารพักพยาบาล 24 ห้อง ที่มีการวางงบประมาณที่มากกว่าราคากลาง ซึ่งมีเหตุผลจากการประเมินราคาในอนาคตทำให้ราคาสูงกล่าวปกติ ดังนั้นในประเด็นนี้จึงให้ทบทวนหามาตรการคำนวณให้สมเหตุ สมผลมากกว่านี้ โดยให้หน่วยงานภายนอกมาร่วมคำนวณราคารวมกับกองแบบแผน


"หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบข้อเท็จ จริงเพื่อให้ทราบว่ามีบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความบกพร่องในการจัดซื้อที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องสอบสวนต่อไปว่า เกิดโดยเจตนา หรือความไม่รอบคอบ แต่เพื่อความเป็นธรรมและปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบ สวนขึ้นเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ และให้โอกาสบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงก่อนที่จะมีการเปิดเผยชื่อบุคคล เหล่านั้นได้ ดังนั้นใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเป็นแค่การตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น"

สั่งทุกจังหวัดทบทวนรายการจัดซื้อ

นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดไปทบทวนรายการ จัดซื้อในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และให้ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ทบทวนรายการจัดซื้อในโรงพยาบาลชุมชน และ นพ.วีรพงษ์ เพ่งวานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฉะเชิงเทรา ทบทวนรายการจัดซื้อใน รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และศูนย์ และในอีก 2 สัปดาห์ จะเชิญคณะกรรมการทั้งหมดมาประชุมกันใหม่เพื่อพิจารณารายละเอียดการจัดซื้อใน โครงการไทยเข้มแข็งทั้งหมด

ส่วนผลสอบสวนมีข้าราชการและนักการเมืองเกี่ยว ข้องกี่คน นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จึงยังไม่สามารถลงรายละเอียดในตอนนี้ได้ แต่ยอมรับว่ามีผู้เกี่ยวข้องหลายคน ซึ่งจะสอบสวนให้เร็วที่สุด หลังจากคณะกรรมการชุด นพ.เสรี ชี้แล้วว่ามีความไม่ปกติเกิดขึ้น และนำเสนอรายงานผลสอบมายังตนเพื่อเร่งตั้ง คณะกรรมการสอบต่อไป

ต่อข้อซักถามว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์มีใบสั่งจากการเมืองจริงหรือไม่ นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า "คงเป็นที่รับทราบว่ามีข้าราชการระดับ ผอ.ไปให้ข้อมูลต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาฯ ซึ่งก็มีคนที่เกี่ยวข้องจริง"

ชี้มีแค่ข้าราชการพัวพัน

ด้าน นพ.เสรี หงษ์หยก ประธานคณะกรรมการตรวจสอบปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 6 รายการ กล่าวว่า ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจเพียงแค่เรียกข้าราชการ และสรุปเฉพาะแค่ ข้าราชการเท่านั้น และลูกจ้างในกระทรวงมาชี้แจงเท่านั้น ส่วนคนนอกไม่มีสิทธิเรียกมาให้ข้อมูลได้ ดังนั้นกรณีที่เป็นข่าวอักษรย่อก่อนหน้านี้ จึงไม่มีสิทธิเรียกมาสอบได้ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ยืนยันว่า มีรายการจัดซื้อที่ไม่ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะเครื่องตรวจสารเคมีในเลือดมูลค่า 3 ล้านบาท ที่ไม่จำเป็น ไม่มีการขอแต่กลับมีการสั่งจัดซื้อให้กับโรงพยาบาลเล็กขนาด 30 เตียงถึง 40 แห่ง จึงมีการตั้งคำถาม รวมทั้งเครื่องยูวี-แฟนและเครื่องดมยาสลบ ที่เป็นหลักฐานชัดเจน

ตั้งกรรมการคนนอกตรวจซ้ำ

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ผลสอบโครงการไทยเข้มแข็งสธ.ว่า ขอเวลาอีก 1 วันเพื่อพูดคุยกับ นพ.เสรี หงษ์หยก ก่อน และจึงจะพิจารณาว่าจะจัดตั้งคณะกรรมการคนนอกเพื่อสอบสวนหรือไม่ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงการตรวจของคณะกรรมการทุกชุด โดยให้ทำงานเป็นอิสระ ส่วนที่การไม่มีเปิดเผยรายชื่อผู้ที่พัวพันปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างในครั้ง นี้นั้น เป็นไปตามฝ่ายกฎหมายสธ.แนะนำเพื่อให้คนเกี่ยวข้องได้ชี้แจงก่อน

หมอชนบทผิดหวังผลสอบ

ด้าน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนว่าพูดไม่หมด เนื่องจากผลการสอบไม่มีถึงฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้อง จึงรู้สึกไม่สบายใจ และคลางแคลงใจ กังวลว่าในสุดเรื่องนี้จะสาวไม่ถึงต้นตอที่สั่งดำเนินการ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติ ตราบใดที่ผู้มีอำนาจในระดับล่างทำงานให้ผู้มีอำนาจในระดับบน ก็จะยังมีความเกรงกันอยู่ ดังนั้น จึงเสนอว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการกลางที่เป็นคนนอกเข้ามาตรวจสอบ เช่นเดียวกับกรณีสอบทุจริตยา

สำหรับผู้ที่เหมาะมาเป็นประธานคณะกรรมการกลาง เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้นั้น ตนยังเห็นว่า นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นผู้ที่มีความเหมาะสม เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงสาธารณสุขมานาน เป็นคนมีความรู้ มีบารมี เกียรติภูมิน่าเชื่อถือ หากผลสอบของ นพ.บรรลุ ระบุว่า ฝ่ายการเมืองไม่มีส่วนเกี่ยวตนก็จะเชื่อ แต่เมื่อการสอบยังดำเนินการโดยคนในกระทรวง ตนจึงไม่เชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบนี้

"ผมสงสัยว่า ทำไมผลสอบในครั้งนี้ ไม่มีการพูดถึงฝ่ายการเมืองเลย ทั้งๆ ก็มีการให้ข้อมูลฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้องต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาฯ และมีการรับรู้เป็นวงกว้าง แต่กรรมการชุดนี้กลับไม่รู้และไม่พูดถึงเลย" ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว

ครม.แต่งตั้งซี9-10สธ.

นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 8 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัดกระทรวง เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายมานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นอธิบดีกรมควบคุมโรค นายนรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นอธิบดีกรมอนามัย นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นรองปลัดกระทรวง นาย

ทนงสรรค์ สุธาธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นรองปลัดกระทรวง นายสถาพร วงษ์เจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นรองปลัดกระทรวง และนางวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

นพ.ภูมินทร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังได้อนุมัติแต่งตั้งข้าราชการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขดำรงตำแหน่งระดับ 10 จำนวน 3 ราย คือ นายศิวฤทธิ์ รัศมีจันทร์ นางชุติมา กาญจนวงศ์ และนายศุภชัย ไพบูลย์ผล ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการกระทรวงพลังงานอีก 1 ราย คือ น.ส.นันธิกา ทังสุพาณิช ผู้อำนวยการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน เป็นผู้ตรวจราชการ

พท.ตั้งคณะ กก.เงาบี้ทุจริตรายกระทรวง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุมพรรค ถึงการตั้งคณะกรรมการติดตามการทุจริตของรัฐบาลรายกระทรวง ว่า แกนนำพรรคเสนอให้มีคณะกรรมการเงาติดตามรายกระทรวงการทุจริตและทำงานผิด กฎหมาย รวมถึงการใช้งบไทยเข้มแข็งโดยให้ ส.ส.เข้าชื่อว่าอยากเป็นกรรมการชุดไหน

ทั้งนี้ กรรมการชุดดังกล่าวจะเริ่มติดตามการตรวจสอบงบชุมชนพอเพียง รวมทั้งโครงการไทยเข้มแข็ง ที่สำคัญกระทรวงสาธารณสุข ที่รัฐมนตรีบอกว่ายังไม่มีการโกงเพราะยังไม่ได้อนุมัติเป็นการพูดจาตามพรรค ประชาธิปัตย์ ทั้งที่มีการยัดไส้ครุภัณฑ์ซึ่งถือว่าโกงไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่นายกฯ กลับถามหาใบเสร็จ คิดว่าสุดท้ายคงไม่พ้นข้าราชการ ทั้งนี้การทำงานของคณะกรรมการเริ่มดำเนินการสัปดาห์หน้า

กรุงเทพธุรกิจ, วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Sunday, October 4, 2009

แพทย์ชนบทปูด 4 ข้อส่อทุจริต ซื้อเครื่องมือแพทย์ไทยเข้มแข็ง

แพทย์ชนบทปูด 4 ข้อส่อทุจริต ซื้อเครื่องมือแพทย์ไทยเข้มแข็ง

"แพทย์ชนบท" ออกโรงแฉไทยเข้มแข็งซ้ำ 4 ประเด็นส่อเค้าทุจริต เสนอรื้อโครงการใหม่ เชื่อประหยัดงบได้หมื่นล้าน ปูดค่าหัวคิวซื้อรถหวอ 1,000 คันๆ ละ 1 แสนบาท ราคากลางก่อสร้างเพิ่ม 20-50% ชี้ "ยูวี-แฟน" ตัวแทนจำหน่ายสนิทเมียนักการเมืองชื่อดัง ด้าน "วิทยา" รายงานโครงการไทยเข้มแข็งส่งกลิ่นให้ นายกฯ ทราบแล้ว ยันยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ได้รายงานนายกรัฐมนตรีเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ชอบมาพากลโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2) หรือ "SP2" มูลค่า 86,685.61 ล้านบาทของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลต (UV-FAN) ว่า เบื้องต้นนายกรัฐมนตรีเข้าใจว่ามีการประมูลจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้อธิบายข้อเท็จจริงว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนการทุจริตตนก็ทราบจากนักข่าว ไม่มีใครร้องเรียนมายังตนโดยตรง ซึ่งนายกฯก็รับทราบ แต่ก็ไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ

แต่ยืนยันว่า การติดตามการทุจริตยังมีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คอยตรวจสอบอยู่แล้ว ส่วนกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ก็ได้ตั้งคณะกรรมการอีก 1 ชุด ในการพิจารณาการจัดซื้อ โดยมีตัวแทนจาก รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป รพ.ชุมชน สสจ. ตัวแทนผู้ตรวจกระทรวง ร่วมดำเนินการทบทวนเพื่อความโปร่งใส และเรื่องนี้อาจให้คณะกรรมการตรวจสอบดูก่อน ก่อนที่จะดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตที่มีรายชื่อบริษัท จำหน่ายในเอกสารแนบท้าย เรื่องนี้จะจริงหรือเปล่ายังไม่รู้ ต้องตามดูว่าออกมาจากจังหวัดใด ว่าเป็นแบบใด มีใครเอาชื่อไปใส่หรือเปล่า ต้องไปตามข้อมูลจากผู้ที่นำมาเผยแพร่ เพราะหากไปแกล้งคนดีๆ ก็จะเสียหาย ตนไม่อยากใครเป็นเหยื่อ คนดีๆ ต้องได้รับการปกป้อง

ด้าน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ควรมีการทบทวนดังนี้

1.ราคาการก่อสร้างอาคาร ซึ่งมีราคากลางสูงเพิ่มขึ้น 30-50% จากราคาการก่อสร้างในปี 2551
ดังนั้นน่าจะมีการรื้อและทบทวนโครงการใหม่ หากทำได้จะประหยัดงบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท เช่น อาคารหอพักพยาบาลที่สเปคเดียวกันจากเดิมราคากลาง 6.67 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 9.57 ล้านบาท

2.มีการร้องเรียนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เข้าไปวิ่งเต้นโครงการใหญ่ 700-800 ล้านบาท ที่ จ.พิษณุโลกและนครสวรรค์
เพราะมีโควตาบางบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองจองไว้แล้ว กรณีนี้เป็นโจรร้องโจรทำให้ทราบข้อมูล


3. รถพยาบาล มีข้อมูลว่ามีฝ่ายการเมืองไปเจรจากับผู้จัดการศูนย์รถยนต์ที่เซ็นทรัล บางนา เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ถึงขั้นเสนอราคาให้คันละ 100,000 บาท
ทำให้ราคาจัดซื้อรถพยาบาล 1 คัน ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์สำคัญ 2 รายการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เครื่องช่วยหายใจ และเครื่องกระตุกหัวใจ ที่เคยซื้อได้ 1.7 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1.8 ล้านบาท


4.เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องดมยาสลบ ที่มีบางบริษัทให้ข้อมูลว่า มีการเปลี่ยนแปลงราคา จากเดิมราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาท แต่กลับมีการตั้งราคาถึง 1.5 ล้านบาท
ซึ่งตนเกรงว่าในบางพื้นที่ไม่รู้และมีการจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจที่ราคา 5-6 แสนบาท แต่ไปซื้อถึง 1.5 ล้านบาท จะทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์


"ถ้านายวิทยาจริงใจต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ สวนเพื่อดูรายละเอียดโครงการทั้งหมด โดยเฉพาะรายการที่ไม่ได้ขอไป แต่กลับจะให้มีการซื้อแบบปูพรมเต็มพื้นที่ว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งหากยกเลิกได้ก็ยกเลิก" นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว และว่า ควรเลือกประธานที่มาตรวจสอบเรื่องนี้ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือไม่ควรเลือกผู้ตรวจราชการ

จี้ทบทวนจัดสรรงบใหม่

นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า เหตุผลที่เสนอให้มีการทบทวนการจัดสรรงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็งใหม่ เนื่องจากมีการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ที่เห็นได้ชัดคืองบที่จัดสรรให้โรงพยาบาลศูนย์ 94 แห่ง เป็นเงินกว่า 40,000 ล้านบาท แต่งบที่จัดสรรให้โรงพยาบาลชุมชน 800 แห่ง ได้เพียงแค่ 8-9 พันล้านบาท ดังนั้นเรื่องนี้ต้องทบทวนให้กระจ่าง ไม่ใช่จัดสรรแบบสะเปะสะปะ และ ครม.ต้องกล้าตัดสินใจชะลอโครงการ เรื่องนี้ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ ตนจะชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภา

นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่าการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลต ว่า เป็นเรื่องที่มีการสอดไส้ลงไปทั้งที่ไม่มีการร้องขอจากพื้นที่ ซึ่งตนเห็นว่าในท้ายที่สุดก็คงมีการยกเลิกโครงการนี้ไป จากการตรวจสอบบริษัทที่นำเข้าพบว่า ไม่ใช่บริษัทที่ไปเสนอราคาขายให้โรงพยาบาลตามที่เป็นข่าว แต่บริษัทที่ไปเสนอขายเป็นแค่ตัวแทน จำหน่ายเท่านั้น เท่าที่ทราบมีสายสัมพันธ์กับเมียนักการเมืองชื่อดัง

สธ.ชี้ 46 รายการแค่เสนอ

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สธ. กล่าวว่า สถานีอนามัยได้งบประมาณกว่า 1.35 ล้านบาท โดย 5 แสนบาทเป็นงบปรับปรุงสถานีอนามัย ส่วนอีก 8.5 แสนบาท เป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์ เดิมมีเพียง 20 กว่ารายการเท่านั้น แต่ได้เพิ่มเป็น 46 รายการ ในการทำเรื่องเสนอของงบฯนั้น หากให้ทางสถานีอนามัยกว่า 9,000 แห่งเสนอมานั้นจะต้องคีย์ข้อมูลกว่าเป็นแสนๆ รายการ ใครจะทำ ทั้งยังมีเวลาที่จำกัด

ดังนั้นจึงได้เชิญตัวแทนผู้ที่เกี่ยวข้องมา หารือเพื่อกำหนดครุภัณฑ์ที่ควรมีการจัดซื้อ โดยพิจารณาเฉพาะรายการใหญ่ๆ ส่วนรายการครุภัณฑ์ยิบย่อยนั้นสถานีอนามัยสามารถใช้งบลงทุน สปสช. จัดซื้ออยู่แล้ว ซึ่งไม่กระทบ โดยทั้งหมดนี้จะต้องเสนอสำนักงบประมาณในกลางเดือนตุลาคมนี้ ส่วนอีก 46 รายการนั้น ไม่ให้สธ.ซื้อทั้งหมด เป็นแค่รายการให้เลือกเท่านั้น ซึ่งบางรายการยังระบุด้วยว่า ให้จัดซื้อในกรณีที่มีแพทย์หรือพยาบาลเท่านั้นในการใช้เครื่องมือดังกล่าว เพราะหากจัดซื้อทั้งหมดจะต้องใช้งบหลายล้านบาท ไม่ใช่แค่หลักแสน

นพ.คำรณ ไชยสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 กล่าวว่า เหตุผลที่กำหนดราคาเครื่องยูวี-แฟน ที่ 40,000 บาท เนื่องจากไปดูราคาการจัดซื้อเมื่อปีก่อน ซึ่งมีโรงพยาบาลบางแห่งในภาคอีสานจัดซื้อ เมื่อมีการวิจารณ์ขึ้นก็ต้องบอกว่าราคาดังกล่าวไม่ใช่ราคากลาง แต่เป็นราคาที่ตั้งงบฯไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับครุภัณฑ์ 46 รายการ เช่น ชุดยูนิตทำฟัน 438,000 บาท เครื่องอัลตร้าซาวด์ 5 แสนบาท เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบอัตโนมัติ ชนิด 12 ลีด พร้อมอ่านแปลผล 1.2 แสนบาท รถบรรทุกดีเซลขนาด 1 ตัน แบบมีช่องว่าด้านหลังคนขับ พร้อมหลังคาไฟเบอร์กลาส ราคา 5.6 แสนบาท ชุดอุปกรณ์ให้การรักษาทันตกรรม 1 แสนบาท ชุดกายภาพบำบัด 138,500 บาท หม้อต้มแผ่นให้ความร้อน 107,000 บาท เป็นต้น

เพื่อไทยเผยสั่งเพิ่มรายการครุภัณฑ์

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ โดยสธ.ได้กำหนดรายการครุภัณฑ์ส่งให้สถานีอนามัย 20 รายการ ในเย็นวันศุกร์ พร้อมกำชับให้ส่งความต้องการว่าต้องการครุภัณฑ์อะไร ใน20 รายการนี้ ภายใต้วงเงินสนับสนุน 8.5 แสนบาท และให้ส่งกลับมายังสาธารณสุขจังหวัดภายในวันจันทร์ จึงเกิดการทักท้วงโดยฝ่ายค้านและข้าราชการ ระบุว่าไม่ได้สำรวจความต้องการของแพทย์สาธารณสุขโดยตรง จึงมีการระงับโครงการไป แล้วเรียกประชุม แต่ก็ไม่ได้รับฟังความเห็นจากคนที่ต้องใช้ครุภัณฑ์เหล่านี้เท่าใดนัก แล้วจึงกำหนดรายการเพิ่มเป็น 46 รายการ แล้วส่งไปยังสถานีอนามัยใหม่ แต่ 20 รายการเดิมก็ยังคงอยู่

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อดีต รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า เคยเตือนในสภาในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ 2553 วาระ2 และ3 ให้ระวังการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา มีการอ้างว่า นำไปให้โรงพยาบาลในโครงการส่งเสริมสุขภาพตำบล 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งแพทย์และศูนย์สุขภาพตำบลอยากได้งบ แต่ปรากฏว่าไปยัดเยียดอุปกรณ์ให้ไม่ตรงกับความต้องการ

กรุงเทพธุรกิจ, วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

Saturday, October 3, 2009

ปมร้อน "จัดซื้อจัดจ้างไทยเข้มแข็ง" สอบเครื่องมือแพทย์เกินราคา

ปมร้อน "จัดซื้อจัดจ้างไทยเข้มแข็ง" สอบเครื่องมือแพทย์เกินราคา

เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ตัดสินใจกู้เงินเพื่อดำเนินการ "โครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555" (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2) หรือ "SP 2" หวังกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพลิกชีวิตคนไทยด้วยการอัดเม็ดเงินนับแสนล้านบาท

การตัดสินใจแค่เริ่มต้นด้วยการกระจายงบประมาณไป ยังกระทรวงต่างๆ เพื่อจัดทำแผนใช้จ่าย หากดูเผินๆ ก็เหมือนจะราบรื่น แต่ยังไม่ถึง 3 เดือนดี ใบปลิวเปิดโปงแผนหาผลประโยชน์บนกองเงินภาษีของประชาชนก็เริ่มว่อน โดยเฉพาะที่กระทรวงสาธารณสุข

แพทย์กลุ่มเดิม (ชมรมแพทย์ชนบท) ที่เคยเปิดโปงโครงการทุจริตยา จนทำให้อดีต รมว.สาธารณสุข ต้องเข้าไปนอนในเรือนจำมาแล้ว ได้ออกมากระหน่ำด้วยการแฉข้อมูลการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์มูลค่านับหมื่นล้านบาท โดย นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เริ่มต้นชี้ชัดที่การสอดไส้จัดซื้อ "เครื่องฆ่าเชื้อโรคแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิดยูวี-แฟน" ที่มีการจัดซื้อมากถึง 800 เครื่อง ด้วยงบประมาณ 32 ล้านบาท ตกเครื่องละ 40,000 บาท เป็นราคาที่สูงเกินจริง เพราะเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเครื่องที่ผลิตโดยฝีมือแพทย์สถาบันโรคทรวงอก ตกอยู่ที่เครื่องละ 6,000 บาทเท่านั้น

กระแสวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวาง ร้อนถึงหูนายกรัฐมนตรีเจ้าของโปรเจค ต้องเรียกเจ้ากระทรวง นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ชี้แจงด่วน !!!

ยังไม่ถึงสัปดาห์ดีแพทย์ชนบทออกมากระหน่ำซ้ำอีก ทั้งเครื่องช่วยหายใจ เครื่องตรวจชีวเคมีในเลือด ลามไปถึงรถพยาบาลที่มีการกินหัวคิวถึงคันละ 100,000 บาท โดยผู้ที่มีอักษรย่อตัว ต. ที่เป็นนักการเมืองในกระทรวง พร้อมท้าด้วยว่า หากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 30,000 ล้านบาท

"ผมไม่ได้เสนอให้ล้มโครงการ เพียงแต่ขอให้ทบทวนให้ดี เพราะเชื่อว่าจะช่วยลดประหยัดงบประมาณได้ และหากทำให้ดีเชื่อว่าจะประหยัดงบประมาณได้ถึง 30% ซึ่งจะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ นพ.เกรียงศักดิ์ ยังได้กล่าวถึง การจัดสรรงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งด้วยว่า เป็นการจัดสรรที่สวนทางนโยบายการวางระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยงบประมาณส่วนใหญ่ทุ่มไปที่การก่อสร้างที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป แต่ในส่วนของโรงพยาบาลชุมชน รวมทั้งสถานีอนามัยกลับจัดสรรน้อยมาก ดังนั้น ควรมีการปรับในส่วนนี้อย่างน้อยก็ควรได้ 50% ของงบประมาณ

ข้อมูลร้อนที่ออกมาทุกวัน ทำให้เจ้ากระทรวงอย่าง นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เต้นแก้ปัญหา สั่งด่วน ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด เพื่อ พิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขปัญหาโครงการไทยเข้มแข็ง และสอบสวนหาข้อเท็จจริง ที่ไม่แค่หวังแก้สถานการณ์สร้างความโปร่งใสให้โครงการดำเนินต่อไปได้เท่า นั้น แต่ยังเป็นการยืนยันภาพลักษณ์นักการเมืองน้ำดี เมืองนครศรีฯ

ขณะที่คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎรเองก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ ต้องเชิญชมรมแพทย์ชนบท มาร่วมให้ข้อมูล โดย นพ.เกรียงศักดิ์ ออกมาเปิดเผยอักษรย่อเพิ่มอีกหลายตัว ทั้ง ม. ป. ล. และ ส. ซึ่งล้วนเป็นคนใกล้ชิดนักการเมืองในกระทรวงหมอทั้งสิ้น

ทั้งยังให้เพิ่มประเด็นร้อนขึ้นอีกประเด็นที่ น่าสนใจ เพราะนอกจากครุภัณฑ์ทางการแพทย์แล้ว ในการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลชุมชน ปรากฏ "เสาธง" สเปคราคาต้นละเกือบ 5 แสนบาท ที่มีการถามหาถึงความจำเป็น แถมด้วยการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่กำหนดราคาต่อตารางเมตรกว่า 1,000 บาท

แม้ นพ.ดร.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จะออกมายืนยันว่า การก่อสร้างอาคาร รพ.ชุมชน ในโครงการไทยเข้มแข็ง ที่มีการสร้างเสาธงมูลค่า 4.95 แสนบาทต่อแห่งนั้น จากการสอบถามกองแบบแผนได้รับการชี้แจง ว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีเสาธงกว่า 10 แบบ ที่มีราคาแตกต่างกันตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป

สำหรับแบบล่าสุดที่เป็นประเด็นในขณะนี้นั้น ได้รับการชี้แจงว่ามีราคา 3.57 แสนบาท โดยเป็นเหล็กขนาด 20 เมตร เคลือบด้วยสารกันสนิมกัลวาไนท์ นอกจากนี้ ยังมีฐานสูงที่ต้องวางเสาเข็ม พื้นเป็นหินทรายขัด ทำให้มีราคาสูง

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ปลัด สธ.คนใหม่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ได้รับคำสั่งจาก รมว.สาธารณสุข เรียกประชุมคณะกรรมการโครงการไทยเข้มแข็ง พร้อมสั่งชะลอจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์เจ้าปัญหา 6 รายการ ได้แก่ เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบยูวีหรือยูวีแฟน เครื่องช่วยหายใจ เครื่องดมยาสลบ เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจ หรือเซ็นทรัลโมนิเตอร์ เครื่องตรวจสารเคมีในเลือด และรถพยาบาล พร้อมส่งหนังสือเวียนแจ้งไปยังนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ และแต่งตั้งให้ นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการเขต 7 เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์เหล่านี้ กำหนดกรอบเวลา 2 สัปดาห์ รู้ผล

นอกจากนี้ ยังให้ทบทวนโครงการไทยเข้มแข็งทั้งหมด โดยให้คณะกรรมการที่มีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานเร่งดำเนินการ (ยังไม่แต่งตั้ง) ทบทวนการจัดซื้อครุภัณฑ์ 7,000 รายการ รวมทั้งการก่อสร้างอาคารที่ถูกระบุว่า ใช้งบประมาณสูงกว่าราคากลางถึง 30-50% ที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายรู้สึกโล่งอก เพราะโชคยังดีที่ยังเป็นแค่การเตรียมจัดซื้อ เพราะงบประมาณที่จะนำมาใช้ยังติดอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภา แม้ว่าจะมีบางพื้นที่ได้มีการประกาศประกวดราคาและจัดซื้อครุภัณฑ์บางรายการ ไปแล้ว แต่ก็ไม่มาก ไม่เช่นนั้น คงก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่

ความดีครั้งนี้ต้องยกให้กับคนที่ออกมาเปิดเผย ข้อมูล เพราะแค่นี้เริ่มต้นก็ส่งกลิ่นขนาดนี้ หากปล่อยให้ประมูลโดยไม่ตรวจสอบจะฉาวขนาดไหน เพราะที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขเคยอื้อฉาวการจัดซื้อมาหลายครั้ง ทั้งกรณีทุจริตยา คอมพิวเตอร์ 900 ล้านบาท และรถพยาบาลฉาว 232 คัน

ช่องโหว่ทำให้เกิดการยัดไส้การจัดซื้อครั้งนี้ สอบถามผู้จัดทำโครงการทราบว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากสำนักงบประมาณที่ต้องการเร่งรีบดำเนินโครงการ โดยเฉพาะในส่วนการจัดซื้อครุภัณฑ์ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ให้เวลา แค่ 3 วัน ในการสรุปรายการจัดซื้อทั้งหมด จึงต้องจำกัดครุภัณฑ์ 46 รายการ เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการในเวลาที่จำกัด ล่าสุดได้มีการปลดล็อกนี้แล้ว หลังเป็นข่าวส่อแววความไม่ชอบมาพากล

แต่สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ คือ การแต่งตั้งและโยกย้ายอธิบดีแต่ละกรม รวมถึงรองปลัดกระทรวงที่ว่างลงหลายตำแหน่งจากการเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่ว่ากระทรวงใดย่อมมีการแต่งตั้งที่สายใครเป็นสายใครขึ้นมา โดยมีการพยากรณ์ว่า หากอังคารนี้โผตำแหน่งลงตัว ต่างฝ่ายต่างพอใจ ปัญหาการจัดซื้อครั้งนี้ก็จะจบลงได้สวย แต่หากไม่ใช่เชื่อว่าคงมีเรื่องปวดหัวที่เป็นประเด็นร้อนฉ่าออกมาอีกหลาย ระลอก

ดวงกมล สจิรวัฒนากุล

กรุงเทพธุรกิจ, วันอาทิตย์ที่ 04 ตุลาคม พ.ศ. 2552