Sunday, January 16, 2011

สูญ2พันล้านซื้อยุทโธปกรณ์ชำรุด เรือเหาะ"เหี่ยว"-บอมบ์สูทล่องหน

สูญ2พันล้านซื้อยุทโธปกรณ์ชำรุด เรือเหาะ"เหี่ยว"-บอมบ์สูทล่องหน

สำรวจขุมทรัพย์จัดซื้อยุทโธปกรณ์ดับไฟ ใต้ 2 พันล้าน ส่วนใหญ่ได้ของ "ชำรุด-ด้อยคุณภาพ" เรือเหาะตรวจการณ์ยังบินไม่ขึ้น กลายเป็น "เรือเหี่ยว" ต้องเคลมผ้าใบบอลลูนผืนใหม่ "จีที 200" เป็นตำนาน "ไม้ล้างป่าช้า" ขณะที่ตำรวจตั้งงบ 330 ล้านซื้อ "บอมบ์สูท" ตั้งแต่ปี 2551-2552 ป่านนี้ยังส่งมอบไม่ได้ ปล่อยกำลังพลสังเวยชุดหมดอายุ

เหตุระเบิดต้อนรับปี 2554 ที่ ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ซึ่งทำให้ ด.ต.กิตติ มิ่งสุข เจ้าหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หรือ อีโอดี สังกัดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 447 ต้องเสียชีวิตคาชุดป้องกันอันตรายจากแรงระเบิด หรือ “บอมบ์สูท” กระทั่งมีการเปิดโปงในเวลาต่อมาว่า "บอมบ์สูท" ที่เจ้าหน้าที่ใช้นั้น เป็นชุดที่หมดอายุการใช้งานแล้ว สะท้อนถึงปัญหาการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติใน ภารกิจดับไฟใต้ได้เป็นอย่างดี

ล่าสุดจากการตรวจสอบเอกสารงบประมาณของ "กรุงเทพธุรกิจ" ย้อนหลังไปถึงปีงบประมาณ 2551 และ 2552 พบว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งงบประมาณจัดซื้อ "บอมบ์สูท" ล็อตใหม่เอาไว้เมื่อปี 2551 จำนวน 118 ล้านบาท สำหรับบอมบ์สูท 9 ชุด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการส่งมอบ

ถัดจากนั้นในปีงบประมาณ 2552 สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังตั้งงบประมาณเพื่อซื้อบอมบ์สูทเพิ่มเติมอีก 14 ชุด จำนวน 214 ล้านบาท แต่ผ่านมาถึงปีงบประมาณ 2554 แล้ว ยังไม่มีการจัดซื้อตามงบประมาณที่ตั้งไว้แม้แต่ชุดเดียว

แหล่งข่าวจากคณะอนุกรรมาธิการติดตามงบประมาณภาค ใต้ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ได้เรียกตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทางตำรวจอ้างว่าความล่าช้าเกิดจากการประมูลมีปัญหา ต้องยกเลิกการประกวดราคาไปถึง 2 ครั้ง ประกอบกับต้องการกำหนดสเปคใหม่ ทำให้ยังจัดซื้อบอมบ์สูทล็อตใหม่ไม่ได้

"ถือเป็นคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น เพราะการตั้งงบพร้อมกำหนดจำนวนบอมบ์สูทที่จะจัดซื้อ แสดงว่ามีการกำหนดสเปคเอาไว้เรียบร้อย การพยายามเปลี่ยนแปลงสเปคในภายหลัง ไม่ทราบว่ามีการวิ่งเต้นหรือมีนอกมีในอะไรหรือไม่ ที่สำคัญงบประมาณก้อนนี้รวม 2 ปีงบประมาณสูงถึงกว่า 330 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้กำลังพลในพื้นที่ยังไม่ได้รับบอมบ์สูทล็อตใหม่ จึงต้องใช้บอมบ์สูทที่หมดอายุแล้ว จนเกิดความสูญเสียตามที่เป็นข่าว" แหล่งข่าวระบุ

ปิกอัพหุ้มเกราะ750ล้านยังฝุ่นตลบ

โครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อีกล็อตหนึ่งสำหรับ ภารกิจดับไฟใต้ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในช่วงการพิจารณางบประมาณราย จ่ายประจำปี 2554 คืองบที่กระทรวงกลาโหมขอแปรญัตติเพิ่มจำนวน 750 ล้านบาท จากงบปกติที่ได้รับแล้วถึง 1.7 แสนล้านบาทเศษ สำหรับจัดหายุทโธปกรณ์สนับสนุนหน่วยที่ปฏิบัติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ กำลังพลได้รับความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งก็คือ "รถยุทธวิธีกันกระสุน" จำนวน 300 คัน ราคาคันละ 2.5 ล้านบาท

สเปคของรถยุทธวิธีกันกระสุน ซึ่งเรียกกันว่า "รถปิกอัพหุ้มเกราะ" เป็นรถปิกอัพแบบดับเบิลแค็บ (สี่ประตู) เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ เสริมเหล็กขนาดความหนา 1-1.30 เซนติเมตร รอบตัวรถ หลังคารถ และพื้นที่ใต้ท้องรถ พร้อมติดกระจกกันกระสุนขนาดความหนาประมาณ 2 เซนติเมตร รอบคัน

แม้งบประมาณก้อนนี้ที่กระทรวงกลาโหมขอแปรญัตติ เพิ่มจะได้รับอนุมัติจากสภาไปแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันกระบวนการจัดซื้อยังมีปัญหา โดยแหล่งข่าวจากวงการค้ายุทโธปกรณ์ เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สาเหตุของความล่าช้ามาจากคุณภาพของรถต้นแบบที่กระทรวงกลาโหมสั่งผลิตไม่ผ่าน การทดสอบ

"จริงๆ แล้วรถปิกอัพหุ้มเกราะราคาอยู่ที่เกือบๆ ล้าน หรือ 1 ล้านบาทเศษเท่านั้น หลายบริษัทในประเทศไทยก็ผลิตได้ ซ้ำยังคุณภาพดีกว่าบริษัทที่กระทรวงกลาโหมสั่งผลิตรถต้นแบบด้วย แต่เป็นที่รู้กันในวงการว่าผู้บริหารของบริษัทผลิตรถต้นแบบมีสายสัมพันธ์ที่ ดีกับผู้ใหญ่ในกองทัพ ทำให้ได้รับเลือก แต่เมื่อคุณภาพของรถยังไม่ผ่านการทดสอบ จึงยังไม่รู้ว่าโครงการนี้จะจบลงอย่างไร" แหล่งข่าว กล่าว

ทั้งนี้ รถปิกอัพหุ้มเกราะล็อตเก่าที่ใช้ปฏิบัติการในพื้นที่ เป็นรถกระบะยี่ห้อดังสี่ประตู ราคาคันละ 8 แสนบาท มีค่ากระจกกันกระสุนเพิ่ม 5 แสนบาท รวมราคารถคันละ 1.3 ล้านบาท

"เรือเหาะ-เรือเหี่ยว"ปีกว่ายังบินไม่ขึ้น

ยุทโธปกรณ์อีกตัวหนึ่ง ที่เรียกเสียงฮือฮาข้ามปีคือ "บอลลูนตรวจการณ์" หรือเรือเหาะ "สกายดรากอน" ที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษโดยใช้งบประมาณถึง 350 ล้านบาท ด้วยหวังจะให้เป็น "ดวงตาบนฟากฟ้า" ป้องปรามและไล่ล่ากลุ่มก่อความไม่สงบด้วยศักยภาพของกล้องอินฟราเรดสุดทันสมัย มูลค่าเฉพาะตัวกล้องนับร้อยล้านบาท

หลังจากจัดซื้อเมื่อกลางปี 2552 เรือเหาะลำนี้ต้องเลื่อนกำหนดปล่อยขึ้นปฏิบัติการมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงการทดสอบขึ้นบินในระยะความสูงเพียง 1,000 เมตร ทั้งๆ ที่ตามสเปคจริงต้องบินสูงถึง 3,000 เมตร เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากภาคพื้น ปัจจุบันเรือเหาะลำนี้จึงถูกเก็บอยู่ในโรงจอดภายในกองพลทหารราบที่ 15 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

ต่อมาเมื่อราวปลายปี 2553 มีการเปิดโปงจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่า สาเหตุที่เรือเหาะขึ้นปฏิบัติการไม่ได้ เนื่องจากพบรอยรั่วจำนวนมากบริเวณผืนผ้าใบ ซึ่งข้อกล่าวหานี้ฝ่ายกองทัพยังไม่สามารถชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่ สาธารณชนได้

แหล่งข่าวในวงการทหาร เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ก่อนหน้านี้มีการตั้งงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อซ่อมแซมเรือเหาะ เป็นงบประมาณจัดซื้อผ้าใบเพิ่มเติมเพื่อนำมาปะบริเวณรอยรั่ว แต่ถึงที่สุดก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้ เพราะรอยรั่วมีหลายจุดมากเกินไป ทำให้ทางกองทัพต้องขอเปลี่ยนสินค้าจากบริษัทผู้ผลิต ล่าสุดทางบริษัทได้ส่งบอลลูนผ้าใบผืนใหม่มาให้แล้ว แต่ยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณสำหรับเติมก๊าซฮีเลียม ซึ่งต้องใช้งบมากถึง 4 ล้านบาท

"จีที 200" ตำนานไม้ล้างป่าช้า

ยุทโธปกรณ์ที่ตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากที่ สุดตลอดปี 2553 คือ เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 GT200 หลังจากแสดงผลผิดพลาดอย่างน้อย 2 ครั้ง จนเกิดระเบิดคาร์บอมบ์ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2552 และมอเตอร์ไซค์บอมบ์ที่ตลาดพิมลชัยกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

ความผิดพลาดที่นำไปสู่ความสูญเสีย ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่อง จีที 200 GT200 จากองค์กรภาคประชาสังคม นักวิทยาศาสตร์ และชุมชนออนไลน์ กระทั่งสำนักข่าวบีบีซี เสนอสกู๊ปข่าวการ “ผ่าเครื่อง” ที่มีลักษณะคล้าย จีที 200 GT200 แต่ใช้ชื่อทางการค้าว่า ADE 651 ผลปรากฏว่าเป็นเครื่องลวงโลก เพราะภายในไม่มีกลไกอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ และไร้ประสิทธิภาพในการตรวจหาระเบิดอย่างสิ้นเชิง

จากข้อมูลและกระแสเรียกร้องดังกล่าว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องมีคำสั่งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเจ้าภาพ ในการพิสูจน์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจีที 200 GT200 ด้วยวิธีการที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผลปรากฏว่าการทำงานของเครื่องมีความแม่นยำต่ำกว่าการเดาสุ่ม ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ต่ำจนไม่อาจยอมรับได้ หลายคนจึงขนานนาม จีที 200 GT200 ว่าเป็น "ไม้ล้างป่าช้า"

จีที 200 กลายเป็นเรื่อง "น้ำลดตอผุด" เมื่อมีการตรวจสอบราคาที่หน่วยงานต่างๆ จัดซื้อตลอดหลายปีที่ผ่านมา พบว่าราคามีความแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 4 แสนบาทไปจนถึง 1.2 ล้านบาท ส่วนราคาขายในต่างประเทศอยู่ที่ 2 แสนบาทเท่านั้น หนำซ้ำยังมีสื่อบางสำนักขุดคุ้ยไปถึงต้นทุนการผลิตที่แท้จริง พบว่าราคาอยู่แค่หลักพัน

เครื่องตรวจระเบิด จีที 200 มีใช้อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 541 เครื่อง ราคาเฉลี่ยเครื่องละ 1 ล้านบาท (เพราะใช้การ์ดตรวจหาสารประกอบระเบิดและดินปืนสูงสุดถึง 18 ใบ) คิดเป็นเงินงบประมาณที่ต้องสูญเสียมากถึง 541 ล้านบาท

รวมมิตรยุทโธปกรณ์ชำรุด-สูญ2พันล้าน

การจัดงบประมาณเพื่อซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีปัญหา เหล่านี้ รวมมูลค่าแล้วเกือบๆ 2 พันล้านบาท ประกอบด้วยบอมบ์สูทที่ยังไม่ได้ส่งมอบ 330 ล้านบาท รถปิกอัพหุ้มเกราะ 750 ล้านบาท เรือเหาะตรวจการณ์ 350 ล้านบาท และจีที 200 ซึ่งปัจจุบันระงับการใช้งานไปแล้วอีก 541 ล้านบาท

เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่ามกลางปัญหาและความไม่โปร่งใสดังกล่าวนี้ กระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพต่างๆ ยังคงได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะปีงบประมาณ 2554 กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 170,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 16,253 ล้านบาท ขณะที่กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบมากที่สุดของกระทรวงกลาโหม กล่าวคือได้รับงบประมาณจำนวน 83,508.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,644.6 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 2553

ส่วน กอ.รมน. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 8,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2553 จำนวน 552 ล้านบาท เป็นงบในภารกิจดับไฟใต้มากถึง 8,019 ล้านบาท

กรุงเทพธุรกิจ, 17 มกราคม 2554