สูญ2พันล้านซื้อยุทโธปกรณ์ชำรุด เรือเหาะ"เหี่ยว"-บอมบ์สูทล่องหน
สำรวจขุมทรัพย์จัดซื้อยุทโธปกรณ์ดับไฟ ใต้ 2 พันล้าน ส่วนใหญ่ได้ของ "ชำรุด-ด้อยคุณภาพ" เรือเหาะตรวจการณ์ยังบินไม่ขึ้น กลายเป็น "เรือเหี่ยว" ต้องเคลมผ้าใบบอลลูนผืนใหม่ "จีที 200" เป็นตำนาน "ไม้ล้างป่าช้า" ขณะที่ตำรวจตั้งงบ 330 ล้านซื้อ "บอมบ์สูท" ตั้งแต่ปี 2551-2552 ป่านนี้ยังส่งมอบไม่ได้ ปล่อยกำลังพลสังเวยชุดหมดอายุ
เหตุระเบิดต้อนรับปี 2554 ที่ ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ซึ่งทำให้ ด.ต.กิตติ มิ่งสุข เจ้าหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หรือ อีโอดี สังกัดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 447 ต้องเสียชีวิตคาชุดป้องกันอันตรายจากแรงระเบิด หรือ “บอมบ์สูท” กระทั่งมีการเปิดโปงในเวลาต่อมาว่า "บอมบ์สูท" ที่เจ้าหน้าที่ใช้นั้น เป็นชุดที่หมดอายุการใช้งานแล้ว สะท้อนถึงปัญหาการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติใน ภารกิจดับไฟใต้ได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดจากการตรวจสอบเอกสารงบประมาณของ "กรุงเทพธุรกิจ" ย้อนหลังไปถึงปีงบประมาณ 2551 และ 2552 พบว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งงบประมาณจัดซื้อ "บอมบ์สูท" ล็อตใหม่เอาไว้เมื่อปี 2551 จำนวน 118 ล้านบาท สำหรับบอมบ์สูท 9 ชุด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการส่งมอบ
ถัดจากนั้นในปีงบประมาณ 2552 สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังตั้งงบประมาณเพื่อซื้อบอมบ์สูทเพิ่มเติมอีก 14 ชุด จำนวน 214 ล้านบาท แต่ผ่านมาถึงปีงบประมาณ 2554 แล้ว ยังไม่มีการจัดซื้อตามงบประมาณที่ตั้งไว้แม้แต่ชุดเดียว
แหล่งข่าวจากคณะอนุกรรมาธิการติดตามงบประมาณภาค ใต้ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ได้เรียกตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทางตำรวจอ้างว่าความล่าช้าเกิดจากการประมูลมีปัญหา ต้องยกเลิกการประกวดราคาไปถึง 2 ครั้ง ประกอบกับต้องการกำหนดสเปคใหม่ ทำให้ยังจัดซื้อบอมบ์สูทล็อตใหม่ไม่ได้
"ถือเป็นคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น เพราะการตั้งงบพร้อมกำหนดจำนวนบอมบ์สูทที่จะจัดซื้อ แสดงว่ามีการกำหนดสเปคเอาไว้เรียบร้อย การพยายามเปลี่ยนแปลงสเปคในภายหลัง ไม่ทราบว่ามีการวิ่งเต้นหรือมีนอกมีในอะไรหรือไม่ ที่สำคัญงบประมาณก้อนนี้รวม 2 ปีงบประมาณสูงถึงกว่า 330 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้กำลังพลในพื้นที่ยังไม่ได้รับบอมบ์สูทล็อตใหม่ จึงต้องใช้บอมบ์สูทที่หมดอายุแล้ว จนเกิดความสูญเสียตามที่เป็นข่าว" แหล่งข่าวระบุ
ปิกอัพหุ้มเกราะ750ล้านยังฝุ่นตลบ
โครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อีกล็อตหนึ่งสำหรับ ภารกิจดับไฟใต้ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในช่วงการพิจารณางบประมาณราย จ่ายประจำปี 2554 คืองบที่กระทรวงกลาโหมขอแปรญัตติเพิ่มจำนวน 750 ล้านบาท จากงบปกติที่ได้รับแล้วถึง 1.7 แสนล้านบาทเศษ สำหรับจัดหายุทโธปกรณ์สนับสนุนหน่วยที่ปฏิบัติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ กำลังพลได้รับความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งก็คือ "รถยุทธวิธีกันกระสุน" จำนวน 300 คัน ราคาคันละ 2.5 ล้านบาท
สเปคของรถยุทธวิธีกันกระสุน ซึ่งเรียกกันว่า "รถปิกอัพหุ้มเกราะ" เป็นรถปิกอัพแบบดับเบิลแค็บ (สี่ประตู) เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ เสริมเหล็กขนาดความหนา 1-1.30 เซนติเมตร รอบตัวรถ หลังคารถ และพื้นที่ใต้ท้องรถ พร้อมติดกระจกกันกระสุนขนาดความหนาประมาณ 2 เซนติเมตร รอบคัน
แม้งบประมาณก้อนนี้ที่กระทรวงกลาโหมขอแปรญัตติ เพิ่มจะได้รับอนุมัติจากสภาไปแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันกระบวนการจัดซื้อยังมีปัญหา โดยแหล่งข่าวจากวงการค้ายุทโธปกรณ์ เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สาเหตุของความล่าช้ามาจากคุณภาพของรถต้นแบบที่กระทรวงกลาโหมสั่งผลิตไม่ผ่าน การทดสอบ
"จริงๆ แล้วรถปิกอัพหุ้มเกราะราคาอยู่ที่เกือบๆ ล้าน หรือ 1 ล้านบาทเศษเท่านั้น หลายบริษัทในประเทศไทยก็ผลิตได้ ซ้ำยังคุณภาพดีกว่าบริษัทที่กระทรวงกลาโหมสั่งผลิตรถต้นแบบด้วย แต่เป็นที่รู้กันในวงการว่าผู้บริหารของบริษัทผลิตรถต้นแบบมีสายสัมพันธ์ที่ ดีกับผู้ใหญ่ในกองทัพ ทำให้ได้รับเลือก แต่เมื่อคุณภาพของรถยังไม่ผ่านการทดสอบ จึงยังไม่รู้ว่าโครงการนี้จะจบลงอย่างไร" แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ รถปิกอัพหุ้มเกราะล็อตเก่าที่ใช้ปฏิบัติการในพื้นที่ เป็นรถกระบะยี่ห้อดังสี่ประตู ราคาคันละ 8 แสนบาท มีค่ากระจกกันกระสุนเพิ่ม 5 แสนบาท รวมราคารถคันละ 1.3 ล้านบาท
"เรือเหาะ-เรือเหี่ยว"ปีกว่ายังบินไม่ขึ้น
ยุทโธปกรณ์อีกตัวหนึ่ง ที่เรียกเสียงฮือฮาข้ามปีคือ "บอลลูนตรวจการณ์" หรือเรือเหาะ "สกายดรากอน" ที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษโดยใช้งบประมาณถึง 350 ล้านบาท ด้วยหวังจะให้เป็น "ดวงตาบนฟากฟ้า" ป้องปรามและไล่ล่ากลุ่มก่อความไม่สงบด้วยศักยภาพของกล้องอินฟราเรดสุดทันสมัย มูลค่าเฉพาะตัวกล้องนับร้อยล้านบาท
หลังจากจัดซื้อเมื่อกลางปี 2552 เรือเหาะลำนี้ต้องเลื่อนกำหนดปล่อยขึ้นปฏิบัติการมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงการทดสอบขึ้นบินในระยะความสูงเพียง 1,000 เมตร ทั้งๆ ที่ตามสเปคจริงต้องบินสูงถึง 3,000 เมตร เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากภาคพื้น ปัจจุบันเรือเหาะลำนี้จึงถูกเก็บอยู่ในโรงจอดภายในกองพลทหารราบที่ 15 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
ต่อมาเมื่อราวปลายปี 2553 มีการเปิดโปงจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่า สาเหตุที่เรือเหาะขึ้นปฏิบัติการไม่ได้ เนื่องจากพบรอยรั่วจำนวนมากบริเวณผืนผ้าใบ ซึ่งข้อกล่าวหานี้ฝ่ายกองทัพยังไม่สามารถชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่ สาธารณชนได้
แหล่งข่าวในวงการทหาร เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ก่อนหน้านี้มีการตั้งงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อซ่อมแซมเรือเหาะ เป็นงบประมาณจัดซื้อผ้าใบเพิ่มเติมเพื่อนำมาปะบริเวณรอยรั่ว แต่ถึงที่สุดก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้ เพราะรอยรั่วมีหลายจุดมากเกินไป ทำให้ทางกองทัพต้องขอเปลี่ยนสินค้าจากบริษัทผู้ผลิต ล่าสุดทางบริษัทได้ส่งบอลลูนผ้าใบผืนใหม่มาให้แล้ว แต่ยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณสำหรับเติมก๊าซฮีเลียม ซึ่งต้องใช้งบมากถึง 4 ล้านบาท
"จีที 200" ตำนานไม้ล้างป่าช้า
ยุทโธปกรณ์ที่ตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากที่ สุดตลอดปี 2553 คือ เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 GT200 หลังจากแสดงผลผิดพลาดอย่างน้อย 2 ครั้ง จนเกิดระเบิดคาร์บอมบ์ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2552 และมอเตอร์ไซค์บอมบ์ที่ตลาดพิมลชัยกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ความผิดพลาดที่นำไปสู่ความสูญเสีย ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่อง จีที 200 GT200 จากองค์กรภาคประชาสังคม นักวิทยาศาสตร์ และชุมชนออนไลน์ กระทั่งสำนักข่าวบีบีซี เสนอสกู๊ปข่าวการ “ผ่าเครื่อง” ที่มีลักษณะคล้าย จีที 200 GT200 แต่ใช้ชื่อทางการค้าว่า ADE 651 ผลปรากฏว่าเป็นเครื่องลวงโลก เพราะภายในไม่มีกลไกอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ และไร้ประสิทธิภาพในการตรวจหาระเบิดอย่างสิ้นเชิง
จากข้อมูลและกระแสเรียกร้องดังกล่าว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องมีคำสั่งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเจ้าภาพ ในการพิสูจน์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจีที 200 GT200 ด้วยวิธีการที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผลปรากฏว่าการทำงานของเครื่องมีความแม่นยำต่ำกว่าการเดาสุ่ม ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ต่ำจนไม่อาจยอมรับได้ หลายคนจึงขนานนาม จีที 200 GT200 ว่าเป็น "ไม้ล้างป่าช้า"
จีที 200 กลายเป็นเรื่อง "น้ำลดตอผุด" เมื่อมีการตรวจสอบราคาที่หน่วยงานต่างๆ จัดซื้อตลอดหลายปีที่ผ่านมา พบว่าราคามีความแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 4 แสนบาทไปจนถึง 1.2 ล้านบาท ส่วนราคาขายในต่างประเทศอยู่ที่ 2 แสนบาทเท่านั้น หนำซ้ำยังมีสื่อบางสำนักขุดคุ้ยไปถึงต้นทุนการผลิตที่แท้จริง พบว่าราคาอยู่แค่หลักพัน
เครื่องตรวจระเบิด จีที 200 มีใช้อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 541 เครื่อง ราคาเฉลี่ยเครื่องละ 1 ล้านบาท (เพราะใช้การ์ดตรวจหาสารประกอบระเบิดและดินปืนสูงสุดถึง 18 ใบ) คิดเป็นเงินงบประมาณที่ต้องสูญเสียมากถึง 541 ล้านบาท
รวมมิตรยุทโธปกรณ์ชำรุด-สูญ2พันล้าน
การจัดงบประมาณเพื่อซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีปัญหา เหล่านี้ รวมมูลค่าแล้วเกือบๆ 2 พันล้านบาท ประกอบด้วยบอมบ์สูทที่ยังไม่ได้ส่งมอบ 330 ล้านบาท รถปิกอัพหุ้มเกราะ 750 ล้านบาท เรือเหาะตรวจการณ์ 350 ล้านบาท และจีที 200 ซึ่งปัจจุบันระงับการใช้งานไปแล้วอีก 541 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่ามกลางปัญหาและความไม่โปร่งใสดังกล่าวนี้ กระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพต่างๆ ยังคงได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะปีงบประมาณ 2554 กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 170,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 16,253 ล้านบาท ขณะที่กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบมากที่สุดของกระทรวงกลาโหม กล่าวคือได้รับงบประมาณจำนวน 83,508.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,644.6 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 2553
ส่วน กอ.รมน. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 8,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2553 จำนวน 552 ล้านบาท เป็นงบในภารกิจดับไฟใต้มากถึง 8,019 ล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ, 17 มกราคม 2554
Sunday, January 16, 2011
Subscribe to:
Posts (Atom)